ลดน้ำหนักแล้ว ประจำเดือนไม่มา อาจเกิดจากสิ่งนี้
หลายคนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักอาจเจอปัญหาประจำเดือนไม่มา หรือประจำเดือนมาน้อยลง ซึ่งทำให้เกิดความกังวลใจ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจว่าเพราะเหตุใดการลดน้ำหนักถึงมีผลกระทบต่อรอบเดือน
ทำไมลดน้ำหนักแล้วประจำเดือนไม่มา?
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือรุนแรงเกินไป เช่น การอดอาหาร การทานอาหารที่ไม่สมดุล หรือการออกกำลังกายหนักเกินไป ล้วนส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับรอบประจำเดือน
สาเหตุหลักที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือมาน้อย

- น้ำหนักลดลง เร็วเกินไป เมื่อร่างกายขาดสารอาหารหรือได้รับพลังงานไม่เพียงพอ จะส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน ทำให้การตกไข่ไม่ปกติ และรอบเดือนหยุดชะงัก
- ตัดแคลอรี่ มากเกินไป การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ขาดวิตามินที่สำคัญ เช่น ธาตุเหล็กหรือวิตามินบี อาจทำให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติและส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยลงหรือหยุดไป
- ตัดแป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ลดการทานข้าว ผลไม้ ธัญพืช ที่มีสารอาหารที่ดี ซึ่งแป้งที่ควรลด คือ อาหารแปรรูป เช่น เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
- การออกกำลังกายหนักเกินไป การออกกำลังกายที่หนักเกินไปทำให้ร่างกายเกิดความเครียดสูง ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและประจำเดือนขาดหายไป
- ภาวะเครียดจากการลดน้ำหนัก ความเครียดจากการลดน้ำหนักหรือการอดอาหารอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
วิธีแก้ไขเมื่อประจำเดือนมาไม่ปกติจากการลดน้ำหนัก
- ปรับการลดน้ำหนักให้เหมาะสม โดยลดน้ำหนักไม่เกิน 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
- รับประทานอาหารที่สมดุล เน้น อาหารต้นทาง ผัก ผลไม้ ธัญพืช ให้เพียงพอ
- ลดความเครียด ด้วยการพักผ่อนที่เพียงพอ และผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชอบ
- ลดความหนักของการออกกำลังกาย หากมีการออกกำลังกายที่หนักเกินไป ควรปรับลดระดับลงให้อยู่ในระดับปานกลาง เช่น วันเว้นวัน ครั้งละ ไม่เกิน 1 ชม.
- พบแพทย์เพื่อปรึกษา หากประจำเดือนยังคงไม่มาหรือผิดปกติต่อเนื่อง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและรับคำแนะนำที่เหมาะสม
หาคำตอบเพิ่มเติมอ้างอิงงานวิจัยได้จากคลิปนี้
สรุป: การลดน้ำหนักที่ถูกต้องและเหมาะสมสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงสุขภาพรอบเดือนของผู้หญิง หากพบปัญหาประจำเดือนไม่มาหรือมาน้อย ควรรีบปรับเปลี่ยนวิธีการลดน้ำหนักและปรึกษาแพทย์ทันที